ในตอนเด็ก ๆ เราทุกคนเคยฝันจินตนาการถึงดินแดนแห่งความฝัน ทั้งปราสาท มังกร ผู้กล้า ดินแดนมหัศจรรย์ ภูมิทัศน์แปลกตา และมีความคิดว่าซักวันจะไปยืนอยู่ในจุดนั้น
แต่ครั้นเมื่อเติบโตขึ้น เราได้รับรู้โลกแห่งความเป็นจริง จินตนาการของเราค่อย ๆ ถูกเบียดบังด้วยสภาพความเป็นจริง จนวันนึง เราก็ลืมเลือนโลกในฝันเราไปเสียหมด
แต่วันนี้เราได้ไปพบกับดินแดนหนึ่ง ซึ่งจินตนาการของเรากลับมาเป็นความจริงอีกครั้งหนึ่ง เกาะเล็ก ๆ ที่แยกออกไปจากแผ่นดินใหญ่ของยุโรป
เกาะที่ชื่อว่า ” IRELAND ”
วันนี้เราจะพาทุกท่านดำดิ่งไปสู่โลกแห่งจินตนาการที่หลาย ๆ คนลืมเลือนไปแล้ว หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับเกาะแห่งนี้
IRELAND เป็นเกาะขนาดไม่ใหญ่นัก พื้นที่ประมาณ 84421 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 6 ล้านคนตั้งอยู่ถัดจาก UK ออกมานิดหน่อย แบ่งพื้นที่เป็นสาธารณรัฐไอร์แลนด์ และไอร์แลนด์เหนือที่อยู่ภายใต้ UK
ในทริปนี้เราจะขับรถวนรอบเกาะ โดยเริ่มจาก Dublin วนครบรอบ และกลับมา DUMLIN อีกครั้ง โดยที่เที่ยวเกือบทั้งหมดจะติดชายทะเล
ใช้เวลาทั้งหมด 12 วัน
การเตรียมตัวเดินทางก็เหมือนกันการไปยุโรปประเทศอื่น ๆ ต่างกันตรงที่ไอร์แลนด์ไม่ได้รวมในกลุ่มประเทศเชงเก้น ต้องขอวีซ่าแยกของไอร์แลนด์ที่เดียว หรือหากมีวีซ่า UK ก็สามารถใช้ผ่านเข้าได้เหมือนกัน
เราเริ่มเดินทางที่สุวรรณภูมิโดยสายการบินเตอร์กิช แอร์ไลนส์ เป็นหนึ่งในสายการบินที่มีเส้นทางบินมากที่สุดในโลก โดยปัจจุบันได้ให้บริการเที่ยวบินกว่า 247 เส้นทางใน 106 ประเทศทั่วโลก
สำหรับเที่ยวบินออกจากกรุงเทพฯ มีทุกวันๆละ 2 เที่ยวบิน สามารถโทรศัพท์สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-231 0300-7 หรือ www.turkishairlines.com
โดยเป็นสายการบินที่ได้รับรางวัล Europe’s Best Airline 3 ปีซ้อน โดย Skytrax
เราจัดการเช็คอิน โดยต้องทำการต่อเครื่องที่ อิสตัลบูล ประเทศ ตุรกี ใช้เวลาต่อเครื่องไม่นานประมาณ 2ชั่วโมง ส่วนกระเป๋าจะส่งไปถึงสนามบิน Dublin เลย
จากดับลิน เราจะขับรถวิ่งวนตามเข็มนาฬิกา พักตามเมืองริมทะเลเกือบทั้งหมด โดยในกระทู้นี้จะใช้ชมตัวอย่างภาพรวมของประเทศ รีวิวโดยละเอียดคงต้องรอซักนิด
เราเริ่มต้นที่เมือง Kilkenny City ใน Co. Kilkenny ถือเป็นจุดหมายแรกๆของการขับรถเที่ยวโดยการวนลงทางทิศใต้ของประเทศไอร์แลนด์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของดับลินโดยห่างจากดับลินมาเพียงประมาณ 90 นาที Kilkenny เป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆน่ารักที่ย้อนรอยไปได้ถึงสมัยยุคกลาง มีความโดดเด่นของขององค์ประกอบของเมืองทั้ง Kilkenny Castle, St.Canice’s Cathedral, Black Abbey, St. Mary’s Cathedral, ตรอกซอกซอยย่านร้านค้าตั้งแต่สมัยยุคกลาง
แต่คิลเคนนีก็เต็มไปด้วยร้านอาหารร่วมสมัยมากมาย และยังเป็นแหล่งบ่มเพาะและฟื้นฟูศิลปหัตกรรม วัฒนธรรมไอริช รวมไปถึงสีสันของเทศกาลต่างๆ กิจกรรม Highlight ที่เมือง Kilkenny ในวันฝนพรำคือการขึ้นปีนหอคอยกลม (Round Tower) ที่ St.Canice’s Cathedral เพื่อชมเมืองจากมุมสูง St.Canice’s Cathedral เป็นศาสนสถานสำคัญของเมือง ถูกสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 6 เพื่อประกอบพิธีกรรมแบบคริสเตียนเป็นครั้งแรกในเมืองนี้ หอคอยกลมที่นี่เป็นเพียง 1 ใน 2 ของหอคอยกลมทั่วทั้งไอร์แลนด์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปได้โดยมีค่าเข้าชม 3 ยูโร/ผู้ใหญ่ 1 คน ตัวหอคอยมีความสูง 30 เมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง 4.5-3.3 เมตร จากฐานถึงยอด วิวจากด้านบนมองเห็นทั่วเมือง Kilkenny ในรูปมองเห็น St. Mary’s Cathedral อีกหนึ่งใน Landmark ของเมือง
จาก Kilkenny City เราออกเดินทางไปยัง Jerpoint Abbey ซึ่งอยู่ในบริเวณ Thomastown ยังอยู่ในเขต Co. Kilkenny แต่ห่างออกมาเพียง 19 กม. ใช้เวลา 20 นาที
Jerpoint Abbey เป็นหนึ่งในซากศาสนสถานที่สวยที่สุดในประเทศไอร์แลนด์ เป็นของกลุ่ม Cistercian ในศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก กษัตริย์ Ossory เป็นผู้สร้าง Jerpoint Abbey ขึ้นในปี 1158 เพื่อเป็นโบสถ์และที่อยู่อาศัยของพระกลุ่ม Cistercian Jerpoint Abbey ยังคงร่องรอยให้เห็นถึงความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบโรมันของยุคกลางซึ่งมีโครงสร้างเป็นวงโค้งต่างๆมากมาย
ที่นี่เราเพลิดเพลินกับการเดินดูศิลปะหินแกะสลักเป็นรูปต่างๆตามแนวอาคารรูปสี่เหลี่ยมโอบล้อมพื้นที่เปิดตรงกลาง รวมถึงชมความสวยงามของฝีมือแกะสลักหินประดับหลุมศพของบุคคลสำคัญในสมัยศตวรรษที่ 13-16 อาทิ Felix O’Dulany และชมห้องนิทรรศการแสดงโบราณวัตถุสำคัญจากยุคนั้น กลุ่มต้นไม้บริเวณใกล้เคียงเป็นที่อยู่อาศัยของนกกามากมายที่คอยบินผ่านไปมา สร้างบรรยากาศในการเยี่ยมชมที่นี่ได้เป็นอย่างดี ค่าเข้าชม 3 ยูโร/ผู้ใหญ่ 1 คน
เมืองที่หมายที่จะพักค้างคืนในวันนี้คือ Waterford City ใน Co. Waterford
เราขับรถมุ่งหน้ามาทางทิศใต้อีกประมาณ 36 กม. ใช้เวลาประมาณ 25 นาทีก็ถึงตัวเมือง Waterford City เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไอร์แลนด์ (Ireland’s oldest city) โดยชาวไวกิ้งส์ได้มาตั้งรกรากที่นี่ในสมัยศตวรรษที่ 8 ที่นี่จึงเป็นเมืองท่าค้าขายแห่งแรกของประเทศ ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ Suir และยังความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบัน Waterford City มีประชากรประมาณ 50,000 คน สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเล็กๆแห่งนี้ เช่น Reginald’s Tower, House of Waterford Crystal, Bishop’s Palace, Waterford Museum of Treasures
ที่มา Lonely Planet Ireland (10th edition – Jan 2012)
Cobh (pronounced ‘cove’)
จุดหมายของเราในวันนี้คือ Cork City ในเขตCo. Cork แต่ก่อนจะถึงเมือง Cork เพียง 20 นาที เราจะแวะที่เมืองท่าเล็กๆน่ารักที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานชื่อ Cobh กันก่อน เราขับรถออกจาก Waterford City โดยมุ่งหน้ามาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 120 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 30 นาที ก็มาถึง Cobh
ครั้งหนึ่งไอร์แลนด์เคยเผชิญกับความอดอยากยากแค้นอย่างรุนแรง (Great Famine) ในช่วงปี 1845-1852 เนื่องจากผลผลิตหลักของไอร์แลนด์ซึ่งคือมันฝรั่งถูกเชื้อโรคทำลายเสียหายลุกลามไปทั้งประเทศ โดยในช่วงปี 1848-1950 ชาวไอริชกว่า 6 ล้านคนได้อพยพหนีความอดอยากยากแค้นไปยังทวีปอเมริกาเหนือและแคนาดาในปัจจุบัน โดยกว่า 2.5 ล้านคนลงเรืออพยพออกไปจากท่าที่ Cobh นับเป็นจุดอพยพที่สำคัญที่สุดของไอร์แลนด์ นอกจากนี้ Cobh (ชื่อในสมัยนั้นคือ Queenstown) ยังมีความผูกพันใกล้ชิดกับเรือ Titanic เนื่องจากเป็นท่าสุดท้ายบนเส้นทาง Southampton – New York ที่นี่ Titanic จอดรับจดหมาย, พัสดุ และผู้โดยสารจำนวน 123 คน และออกจากท่าที่ Queenstown เวลา 1.30 pm. ของบ่ายวันที่ 11 เมษายน 1912 ก่อนที่จะชนก้อนน้ำแข็งและจมลงในวันที่ 14 เมษายน 1912 บริเวณใกล้ๆ Newfoundland
ปัจจุบัน Cobh เป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆแต่สูงชัน Cobh ประกอบไปด้วยบ้านเรือนร้านค้าทาสีสันสดใส สถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียน สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น Cobh Heritage Centre, Titanic Experience Cobh และที่โดดเด่นยิ่งใหญ่ที่สุดคือโบสถ์ St. Colman’s Cathedral
St. Colman’s Cathedral เป็นโบสถ์อันล้ำค่าสไตล์ French Gothic ออกแบบโดย EW Pugin และ Ashin
โบสถ์เริ่มสร้างเมื่อปี 1868 และเสร็จในปี 1915 รวมระยะเวลา 47 ปี ต่อมาในปี 1916 ทางโบสถ์ได้ติดตั้งระฆังราง Carillon ซึ่งประกอบไปด้วยระฆังจำนวน 42 ใบ โดยใบใหญ่ที่สุดหนักถึง 3.6 ตันและอยู่สูงเหนือพื้นดินถึง 200 ฟุต ชาวเมือง Cobh จะเพลิดเพลินกับเสียงระฆังจากโบสถ์ทุกบ่ายวันอาทิตย์เวลา 4.30 pm นอกจากนี้ St. Colman’s Cathedral ยังเป็นสถานที่ๆคณะนักร้องประสานของโบสถ์จากทั่วโลกจะมาเปิดการแสดงที่นี่
Cork City เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอร์แลนด์ มีประชากรประมาณ 120,000 คน ศูนย์กลางเมืองขนาดกะทัดรัดที่มีแม่น้ำ Lee ไหลผ่านนี้ขึ้นชื่อเรื่องความคึกคัก
เป็นเมืองแห่งมหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑ์ชั้นนำ และยังเป็นแหล่งผลิตอาหารและร้านอาหารชั้นเลิศ มีร้านค้าและผับชั้นดีมากมาย Co. Cork ยังเป็นบ้านเกิดของนักฟุตบอลระดับตำนาน Roy Keane ที่ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยผู้จัดการของทีมชาติไอร์แลนด์อีกด้วย ในภาพคือ St. Mary’s Roman Catholic Church ถูกสร้างในปี 1832 โดยใช้หินปูนเป็นหลัก ตั้งโดดเด่นอยู่บริเวณ Pope’s Quay ใจกลาง Cork City
Blackrock Castle ถูกสร้างขึ้นโดยประชาชนชาว Cork ในปี 1582 โดยครั้งแรกโครงสร้างเป็นหอคอยใช้เพื่อป้องกันการรุกรานทางน้ำของพวกโจรสลัดและผู้บุกรุกอื่นๆ รวมถึงยังใช้เป็นจุดสังเกตของการเดินเรือในช่วงรอยต่อของแม่น้ำ Lee และอ่าว Mahon
ในปี 1604 ผู้แทนกษัตริย์อังกฤษที่เข้ามายึดครองบริเวณนี้ได้สร้างปราสาทขึ้นเพื่อป้องกันตัวเองจากการรุกรานของชาว Spanish รวมถึงปกป้องตัวเองจากกบฏชาว Cork ด้วยเช่นกัน ในปี 1608 Jame the First ได้คืนปราสาทให้ประชาชนชาว Cork ครอบครองและหลังจากนั้นจนปราสาทได้ถูกใช้เพื่องานทางธุรกิจและสังคมของชาว Cork และได้ถูกซ่อมแซมหลายครั้งตามกาลเวลา
ต่อมาในช่วง 1960s -2001 ปราสาทถูกซื้อและเปลี่ยนมือโดยกลุ่มนักธุรกิจชาวCork โดยถูกใช้เป็นบาร์ ร้านอาหาร ออฟฟิศ จนถึงที่อยู่อาศัย จนมาถึงช่วงปี 2007 เกิดความร่วมมือระหว่าง Cork City Council, Cork Institute of Technology และผู้บริจาครายหนึ่ง Blackrock Castle ได้ถูกเปิดใช้งานอีกครั้งในชื่อ CIT Blackrock Castle Observatory เพื่อเป็นเป็นศูนย์สังเกตและศึกษาอวกาศ โดยมีการจัดนิทรรศการและกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ตลอดปี
Charles Fort อยู่บริเวณเมือง Kinsale ทางด้านใต้ของ Cork City โดยห่างออกมาประมาณ 30 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 35 นาที Charles Fort นับเป็นหนึ่งในป้อมปราการรูปดาวสมัยศตวรรษที่ 17 ที่ถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดของยุโรป Charles Fort ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1670s เพื่อดูแลรักษาอ่าว Kinsale สถาปนิก Willaim Robinson เป็นผู้ออกแบบป้อมแห่งนี้ โดยเป็นหนึ่งในป้อมปราการทางทหารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไอร์แลนด์
Charles Fort มีบทบาทอย่างมากในประวัติศาสตร์ไอริช โดยเพาะในช่วง Willamite War 1689-91 และ Civil War 1922-23 Charles Fort ถูกประกาศให้เป็น National Monument ในปี 1973 บริเวณภายในป้อมจัดนิทรรศการเกี่ยวกับชีวิตอันยากลำบากของทหารที่ปฏิบัติการที่ป้อมนี้ Charles Fort ตั้งอยู่บริเวณที่มีทัศนียภาพงดงามของอ่าว Kinsale เหมาะแก่การเดินพักผ่อนเที่ยวชม
Blarney Castle อยู่ห่างจาก Cork City ขึ้นมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 8 กม. และถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ Co. Cork Blarney Castle ที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณเกือบ 600 ที่แล้วโดยหนึ่งในผู้นำที่มีอำนาจที่สุดของไอร์แลนด์ Cormac McCarthy กษัตริย์แห่งแคว้น Munster ในสมัยนั้น ในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา ผู้คนนับล้านจากทั่วโลกหลั่งไหลมาที่ Blarney Castle เพื่อจูบหิน Blarney ที่ขึ้นชื่อว่าใครได้จูบแล้วจะเป็นคนพูดเก่ง เจรจาต่อรองเก่ง
ที่มาของหิน Blarney คือเมื่อปี 1314 Cormac McCarthy ได้จัดกำลังพล 4,000 นายไปช่วยเสริมทัพของ Robert the Bruce ในการต่อสู้บริเวณ Bannockburn ตามคำเรียกร้อง หลังจากนั้นเขาได้รับหินนำโชคมาครึ่งก้อนเพื่อเป็นการตอบแทน ส่วนความเชื่อที่ว่าจูบหิน Blarney แล้วจะพูดเก่งนั้นมาจากเมื่อ Queen Elizabeth I สั่งให้ Earl of Leicester ไปเจรจากับ Cormac McCarthy เพื่อนางจะครอบครองปราสาท ผลที่ได้คือCormac McCarthy มีวิธีปฏิเสธที่จะไม่ทำตามคำสั่งของนาง โดยมีวิธีเจรจาให้นางคล้อยตามทุกครั้ง แบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น สุดท้ายนางจึงพูดด้วยความรำคาญใจเรียกวิธีเจรจาแบบนี้ว่าแบบ ‘Blarney’ นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางมาจูบหินนี้ของผู้คนทั่วโลก
บริเวณภายนอกปราสาทมีส่วนที่เป็น Landscape สวยงามริมน้ำเรียกว่า Rock Close และมีสวนสวยงามหลายแห่งรวมถึง The Poison Garden ที่รวบรวมพันธุ์ไม้มีพิษและอันตรายหลายสายพันธุ์จากทั่วโลกเอาไว้เพื่อการศึกษา อาทิ Poison Ivy ค่าเข้าชม Blarney Castle 12 ยูโร/ผู้ใหญ่ 1 คน
ค่ำนี้เรามีเป้าหมายจะพักค้างคืนกันที่บริเวณ Portmagee ใน Co. Kerry ระยะทางจาก Blarney Castle ไปยัง Portmagee ประมาณ 150 กม. โดยเราแวะทานข้าวที่เมือง Killarney ก่อน
Portmagee เป็นท่าเรือเล็กๆที่อยู่บนเส้นทาง Skellig Ring ซึ่ง Skellig Ring เองก็เป็นเส้นทางวงเล็กที่อยู่ด้านนอกของ Ring of Kerry เส้นทางขับรถท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอร์แลนด์ อย่างไรก็ตามเป้าหมายของเราคือลงเรือที่ Portmagee เพื่อไปที่ Skellig Islands ในวันรุ่งขึ้น ในรูปแสงยามเย็นบริเวณจุดชมวิวบริเวณ The Kerry Cliffs บนเส้นทาง Skellig Ring มองข้ามไปยังปลายแหลมของเกาะ Valentia
จุดชมวิวบริเวณ The Kerry Cliffs บนเส้นทาง Skellig Ring โดยเป็นเส้นทางเดินที่ถูกจัดทำในที่ส่วนบุคคลของ Blasket View House B&B โดยเสียค่าผ่านทาง 4 ยูโร/ผู้ใหญ่ 1 คน
Skellig Islands อยู่ห่างจากฝั่งที่ Portmagee Co. Kerry มาประมาณ 12 กม. ประกอบไปด้วยเกาะ 2 เกาะ คือเกาะใหญ่เรียกว่า Skellig Michael และ เกาะเล็กเรียกว่า Little Skellig
Skellig Michael ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น Unesco World Heritage site เกาะที่มีภูมิประเทศเป็นหินสูง 217 ม.และมีความชันขรุขระนี้ดูเหมือนน่าจะเป็นที่สุดท้ายในโลกที่จะมีคนอยากมาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย แต่พระคริสเตียนกลับมีความมุ่งมั่นที่จะปลีกวิเวกโดยมาหาความสันโดษตั้งถิ่นฐานอยู่ในที่ห่างไกลสุดขอบของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 6 ถึงประมาณศตวรรษที่ 12-13 ศาสนสถานบนเกาะนี้ตั้งอยู่ที่บนหินความสูงประมาณ 150 ม.เหนือระดับน้ำทะเล โดยมีการสกัดหินเพื่อทำบันไดสูงชันกว่า 600 ขั้นขึ้นไป กลุ่มอาคารที่อยู่อาศัยของพระสร้างจากหินเรียงกันเป็นทรงกระโจมรังผึ้งหลากหลายขนาด มีร่องรอยของการทำสวนผัก และการกักเก็บน้ำไว้ใช้ มีหลักฐานบันทึกว่าเหล่าพระจะเดินลงมาทุกวันตกปลาเพื่อเป็นอาหารเช้า หลังจากนั้นจะทำสวนและใช้เวลาส่วนใหญ่ศึกษาตำรา Skellig Michael ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ๆเก่าแก่ที่สุดที่มีการตั้งถิ่นฐานของพระที่มายังประเทศไอร์แลนด์
ในรูป Skellig Michael เป็นที่อยู่อาศัยของ Atlantic puffins หลายพันตัว ในแต่ละปี puffins จะอพยพมาถึงในช่วงเดือนเมษายน และอยู่ร่วมกับนกทะเลชนิดอื่นๆจนถึงเดือนปลายเดือนสิงหาคมบนเกาะโดยจะมีการแย่งชิงพื้นที่ทำรังกัน ในฤดูนี้ จะมาผสมพันธุ์ ฟักไข่ และออกหาปลา sandeel ที่มันชอบและมีอยู่มากในบริเวณนี้ ผลการศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์ของ University College Cork แสดงว่า puffins เหล่านี้อพยพไปถึงแคนาดาและกลับมาในปีถัดไป
ส่วน Little Skellig ที่เป็นฉากหลังในภาพ เมื่อมองจากระยะไกลจะเห็นเกาะถูกปกคลุมด้วยสีขาวเสมือนหิมะที่ยังไม่ละลาย แต่เมื่อเข้ามาใกล้จะพบความจริงว่า Little Skellig เป็นอาณานิคมของนก Gannet กว่า 23,000 คู่ที่ทำรังอยู่บนยอดหินแหลมทุกแห่งเท่าที่จะอยู่ได้ Little Skellig ไม่อนุญาติให้เรือเทียบจอด และนับเป็นอาณานิคมของนก Gannet ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ค่า Boat Trip ไป Skellig Islands 50 ยูโร/ผู้ใหญ่ 1 คน
เมื่อออกจาก Portmagee เรามุ่งหน้าไปยัง Limerick City ใน Co. Limerick โดยขับรถขึ้นมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 170 กม. ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ก่อนถึงตัวเมือง Limerick เราผ่านเมืองเล็กๆน่ารักที่ชื่อ Adare ในภาพคือ Adare Castle ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ Maigue
Adare Castle ได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของปราสาทที่ใช้เป็นป้อมปราการในสมัยยุคกลาง เนื่องจากตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่สามารถควบคุมดูแลการสัญจรทางน้ำได้เป็นอย่างดี Adare Castle ถูกสร้างในสมัยศตวรรษที่ 13 โดยเป็นสมบัติของ Earls of Kildare เป็นเวลาเกือบ 300 ปี จนในสมัยกบฏปี 1536 ได้ถูกเข้ายึดครองและตกเป็นของ Earls of Desmond ต่อมาในปี 1657 ก็ได้ถูกทำลายลงโดยกลุ่มทหารของ Cromwell หลังจากนั้นก็ค่อยๆหมดความสำคัญลง ปัจจุบันปราสาทถูกซ่อมแซม อนุรักษ์ และเปิดให้เข้าชมภายใต้การดูแลของ Heritage Ireland และ Adare Heritage Centre
King John’s Castle ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Limerick City ใน Co. Limerick ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ปราสาทถูกสร้างขึ้นบน King’s Island ซึ่งเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง
ปราสาทตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ Shannon ถูกสร้างโดย King John of England ในช่วงปี 1200-1212 ปราสาทถูกใช้เป็นฐานทัพและศูนย์บัญชาการทางทหารสำหรับภูมิภาค Shannon ในช่วงปี 1642 กลุ่มกบฏชาวไอริชที่ต่อต้านการปกครองของอังกฤษได้ทำลายปราสาทลง ปัจจุบัน King John’s Castle ได้รับการบูรณะและเปิดให้เข้าชมนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณวัตถุต่างๆตลอดปี
Rock of Cashel เราเดินทางย้อนมาทางทิศตะวันออกของ Limerick City ประมาณ 1 ชม.เพื่อไปชม Rock of Cashel ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 60 กม.ใน Co. Tipperary
Rock of Cashel นับเป็นหนึ่งในโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไอร์แลนด์ ตัวป้อมตั้งตระหง่านอยู่บนเนินหินใหญ่โดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางทุ่งราบรอบด้าน ป้อมแห่งนี้มีกำแพงล้อมรอบเป็นฐานซึ่งโอบล้อมองค์ประกอบต่างๆเอาไว้ คือ หอคอยกลม กางเขน High Cross และวิหารแบบ Romanesque สมัยศตวรรษที่ 12 ที่สวยที่สุดในไอร์แลนด์ รวมถึงโบสถ์สไตล์ Gothic สมัยศตวรรษที่ 13
กว่า 1000 ปีที่ Rock of Cashel เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ โดยเป็นบัลลังก์ของกษัตริย์และนักบวชที่ปกครองอาณาบริเวณนี้ ในสมัยศตวรรษที่ 4 Rock of Cashel ได้ถูกเลือกจากตระกูล Eoghanachta จาก Wales ให้เป็นฐานที่ตั้ง Eoghanachta เข้ายึดครองพื้นที่ส่วนมาในแคว้น Munster และกลายมาเป็นกษัตริย์ของภูมิภาคนี้
Rock of Cashel นับเป็นศูนย์กลางอำนาจของประเทศไอร์แลนด์กว่า 400 ปี โดยตระกูล Eoghanachta มีเชื้อสายเกี่ยวพันกับ St. Patrick นักบุญแห่งประเทศไอร์แลนด์Rock of Cashel จึงมีอีกชื่อหนึ่งถูกเรียกว่า St. Patrick’s Rock ต่อมาในสมัยศตวรรษที่ 10 ตระกูล Eoghanachta สูญเสียอำนาจการยึดครอง Rock of Cashel ให้ตระกูล O’Brien และในปี 1101 กษัตริย์ Muircheartach O’Brien ได้ยก Rock of Cashel ให้กับบาทหลวงผู้ทรงอำนาจของคริสตจักร ช่วงยุคโจรกรรมของกองทัพ Cromwellian ในปี 1647 Rock of Cashel ก็ยังรอดพ้นการถูกทำลายมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันภายในมีการจัดนิทรรศการและสื่อวีดิทัศน์ให้เข้าชมตลอดปี และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของไอร์แลนด์ โดยเมื่อปี 2011 Queen Elizabeth II ก็มาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ ค่าเข้าชม Rock of Cashel 6 ยูโร/ผู้ใหญ่ 1 คน
ทิวทัศน์สวยงามที่มองลงมาจาก Rock of Cashel รวมถึง Hore Abbey ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศเหนือไม่ถึง 1 กม.
Hore Abbey แรกเริ่มเป็นที่อยู่อาศัยของพระนิกาย Benedictine ที่มาจาก Glastonbury ในประเทศอังกฤษในสมัยปลายศตวรรษที่ 12 ต่อมาได้กลายเป็นของพระกลุ่ม Cistercian เนื่องจากหัวหน้าบาทหลวงในสมัยศตวรรษที่ 13 ฝันว่าพระนิกาย Benedictine จะมาฆ่าตน จึงต้องขับไล่ออกไปและยกให้พระกลุ่ม Cistercian เป็นของขวัญแทน
ปัจจุบัน Hore Abbey ยังคงตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งเลี้ยงวัวและแกะ สามารถเดินเข้าไปชมได้โดยอิสระ
จาก Rock of Cashel เราขับรถย้อนกลับไปทาง Limerick City โดยมุ่งหน้าไปยัง Cliffs of Moher ในเขต Co. Clare โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ระยะทางประมาณ 140 กม.
Cliffs of Moher เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีทักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมากที่สุดในไอร์แลนด์ มากกว่า 1 ล้านคนต่อปี Cliffs of Moher เป็นแนวหน้าผาสูงชันริมชายฝั่งทะเลแอตแลนติกทางทิศตะวันตกของไอร์แลนด์ มีความยาวกว่า 8 กม.และจุดสูงที่สุดของผาสูงถึง 214 ม. เหนือระดับน้ำทะเล
กลุ่มหินต่างๆที่ก่อตัวกันเป็นแนวหน้าผานั้นมีอายุกว่า 300 ล้านปี โดยย้อนไปได้ถึงสมัย Carboniferous period ด้วยเวลา คลื่นจากมหาสมุทร และสภาพภูมิอากาศทำให้แนวหน้าผาถูกกัดกร่อนมีสภาพเป็นอย่างปัจจุบัน Cliffs of Moher ยังเป็นอาณาจักรของนกทะเลมากกว่า 20 สายพันธุ์ และมากกว่า 30,000 ที่มาทำรังและฟักไข่ในช่วงเดือนเมษายน – กรกฎาคมของทุกปี นอกจากนี้ Cliffs of Moher ยังเป็นสถานที่ถ่ายทำหนังที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยปี 1961 รวมถึง Harry Potter&the Half Blood Prince ในปี 2009 อีกด้วย
ในภาพ หอคอย O’Brien’s Tower ตั้งตระหง่านอยู่ที่ริมหน้าผา ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1835 โดย Cornelius O’Brien เจ้าของที่และเป็นผู้มีอำนาจในสมัยนั้น สร้างขึ้นเพื่อเป็นจุดชมวิวของบริเวณ Cliffs of Moher เพราะเค้าเชื่อว่าการท่องเที่ยวจะนำให้เศรษฐกิจบริเวณนี้ดีขึ้นและนำผู้คนหลุดพ้นจากความยากจน ค่าเข้าชม Cliffs of Moher ในส่วนหน้าผาและ Visitor Experience 6 ยูโร/ผู้ใหญ่ 1 คน ค่าเข้าชม O’Brien’s Tower 2 ยูโร/ผู้ใหญ่ 1 คน
The Burren คือที่ราบและเนินเขาหินปูนที่กว้างใหญ่อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของ Cliffs of Moher อยู่ระหว่างทางไปยัง Galway City ใน Co. Galway The Burren มีอายุประมาณ 350 ล้านปี
คำว่า Burren มาจากคำไอริช “Boireann” ซึ่งหมายความว่าที่ๆเป็นหิน The Burren ครอบคลุมเนื้อที่ถึง 250 ตร.กม. หรือ ประมาณ 1% ของพื้นผิวดินของประเทศไอร์แลนด์ทั้งหมด The Burren เคยเป็นที่อยู่อาศัยของคนสมัยโบราณจำนวนมาก โดยมีการค้นพบสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากกว่า 2,500 แห่งทั่ว The Burren รวมถึง หลุมศพอายุกว่า 5,000 ปี
ในสมัยปี 1651 นายทหารจากกองทัพ Cromwellian ที่ชื่อว่า Ludlow ได้กล่าวเอาไว้ว่า “นี่เป็นประเทศที่ไม่มีน้ำพอจะให้ใครจมน้ำ ไม่มีมีต้นไม้พอจะแขวนคอใคร ทั้งยังไม่มีผืนดินพอที่จะฝังศพใครอีกด้วย…” แต่หลายๆส่วนของ The Burren ก็มีดินปกคลุมอยู่บ้าง ในอดีตจึงถูกเรียกว่า “Fertile Rock” หรือหินอันอุดมสมบูรณ์ เพราะมีสมุนไพรและดอกไม้ขึ้นอยู่หลากหลาย
ปัจจุบัน The Burren เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมในฤดูร้อน เพราะจะมีดอกไม้ป่าขึ้นอยู่มากมาย พื้นที่ The Burren National Park ตั้งอยู่บริเวณมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ The Burren ทั้งหมดเพื่อเป็นสถานที่รวบรวมและแสดงพันธุ์ไม้ หิน และสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อาศัยอยู่ใน The Burren ในภาพวิวด้านหลังคืออ่าว Galway
Dunguaire Castle ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้าน Kinvara บริเวณทิศใต้ของ Co. Galway
ปราสาทถูกสร้างขึ้นในปี 1520 โดยตระกูล O’Hynes บนแนวหินริมอ่าว Galway ที่มีทัศนียภาพที่งดงาม ปราสาทแบบ Tower House นี้ได้ถูกซื้อขายเปลี่ยนมือไปตามกาลเวลาจนถึงปี 1924 ปราสาทได้ถูกซื้อโดย Oliver St. John Gogarty หมอผ่าตัดและนักเขียนผู้โด่งดัง ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงฟื้นฟูของวรรณกรรมไอริช ปราสาทกลายเป็นสถานที่สำคัญโดยการเป็นจุดพบปะสังสรรค์กันของนักเขียนชั้นแนวหน้าของไอร์แลนด์ เช่น W.B. Yeats, George Bernard Shaw, Edward Martin และ J.M. Synge เป็นต้น
ต่อมาในปี 1954 ปราสาทถูกเปลี่ยนมือเป็นของ Christobel Lady Amptill ผู้ซึ่งซ่อมแซมปราสาทต่อจาก Oliver St. John Gogarty จนเสร็จสมบูรณ์ ภายหลังปราสาทได้ตกเป็นทรัพย์สินของ Shannon Development ปัจจุบันปราสาทเปิดให้เข้าชมระหว่างเดือน เมษยน ถึงต้นเดือนตุลาคม และให้เข้าร่วมชมการแสดงพิเศษ หรือ ร่วมงานเกี่ยวกับวรรณกรรมที่จัดขึ้น
พระอาทิตย์ตกที่ Galway Bay บริเวณ Galway City Co. Galway
Co. Galway มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม เช่น Aran Islands, Connemara Galway City จึงเสมือนเมืองที่นักท่องเที่ยวมารวมตัวกันทั้งเพื่อเที่ยวในนี้เองและรอไปยังที่ต่างๆ Galway City มีชื่อเสียงเรื่องสีสันในเวลากลางคืนของ Irish Pubs และ Traditional Music Galway City ยังเป็นเมืองของคนหนุ่มสาวเนื่องจากเป็นเมืองของมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ และยังมีชื่อเสียงมากเรื่องหอยนางรมสดๆจากอ่าว Galway City เป็นที่จัดเทศกาลหอยนางรมที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติและดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอีกด้วย
ในรูป ขณะที่ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกอยู่นั้น มีคุณลุงชาว Galway City ที่เดินออกกำลังกายอยู่แถวนั้นเดินมาชวนคุยแล้วบอกว่าชาว Galway เป็นมิตรมากนะ พระอาทิตย์ตกที่ Galway Bay สวยมากนะให้ไปหาเพลงชื่อ “Galway Bay” ฟัง มีท่อนนึงจะร้องว่า
“O it may be some day I’ll go back to Ireland If it’s only at the closing of my day, For to see again the moon rise over Claddagh And to watch the sun go down on Galway Bay…..”
เคยฟังมั้ยๆ ให้ไปหาฟังนะ แล้วคุณลุงก็เดินจากไป
Galway Cathedral ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Corrib ใจกลางเมือง Galway ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายของยุค 1950s โดยนับเป็นมหาวิหารที่สร้างจากหินที่ใหม่ที่สุดของยุโรป สร้างแล้วเสร็จและถูกเปิดใช้งานในปี 1965 Galway Cathedral ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้ Our Lady Assumed into Heaven และ St. Nicholas ออกแบบโดย J.J. Robinson ในแบบผสมผสานกันของศิลปะ Renaissance, Romanesque และ Gothic Galway Cathedral มีชื่อเสียงเรื่องศิลปะการตกแต่งภายในของมหาวิหาร เช่น รูปปั้น โมเสคและกระจกสีต่างๆ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมือง Galway
Connemara เป็นคำภาษาไอริชมีความหมายว่า ‘Inlets of the Sea’ หรือปากทางสู่ทะเล อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ Galway City ใน Co. Galway คือดินแดนส่วนตะวันตกของไอร์แลนด์นับเป็นส่วนขอบทางตะวันของทวีปยุโรปติดกับมหาสมุทรแอตแลนติค เป็นคำที่ใช้เรียกสั้นๆของ Connemara Peninsula หรือคาบสมุทร Connemara
เราตั้งใจขับรถชมภูมิทัศน์ด้านในของ Connemara โดยไม่ออกไปด้านชายฝั่ง ด้านในของ Connemara ละลานตาไปด้วยบึง ทุ่งหญ้า บ่อโคลนน้อยใหญ่ หุบเขาอันเวิ้งว้างโดดเดี่ยว รวมถึงทะเลสาบสีดำส่องแสงเป็นประกายมากมาย
ในวันที่แดดดีทะเลสาปเหล่านี้จะสะท้อนภาพผืนฟ้าลงมาได้สวยงามราวกับกระจก ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน Connemara จะเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าสีสวยมากมาย ลูกแกะแม่แกะจะเดินเล่นวิ่งเล่นให้เห็นอยู่ทั่วไป
Connemara ได้รับการขนานนามว่า ‘The Real Emerald of Ireland’ หรือดินแดนมรกตที่แท้จริงของไอร์แลนด์มาช้านาน กิจกกรรมที่เป็นที่นิยมในแถบ Connemara รวมถึง ขี่จักรยาน ขี่ม้า เดินเขา แคมป์ปิ้ง ลงเรือชมทัศนียภาพในทะเลสาบ
Kylemore Abbey ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามของ Connemara บริเวณริมทะเลสาบ Pollacapall และทะเลสาบ Kylemore
ตัวปราสาทถูกสร้างขึ้นในปี 1867-1871 โดย Mitchell และ Margaret Henry คู่สามีภรรยาจากManchester ที่มาท่องเที่ยวฮันนีมูนที่นี่ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Connemara เป็นจุดหมายที่นิยมในการมาล่าสัตว์และตกปลา Mitchell และ Margaret หลงใหลในทัศนียภาพอันงดงามของ Connemara และปรารถนาจะมีบ้านที่นี่ ในช่วงการฮันนีมูนทั้งสองได้เช่า Kylemore Lodge เป็นที่พัก ซึ่งอาคารดั้งเดิมอยู่จุดเดียวกับที่เป็นปราสาท ณ ปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อบิดาของ Mitchell เสียชีวิต เขาได้นำเงินมดกที่ได้มาสร้างปราสาท Kylemore และหันหลังให้กับอาชีพแพทย์ที่อังกฤษ เค้าได้สร้างสวน ทางเดิน และแนวป่าขึ้นโดย Kylemore Estate ครอบครองพื้นที่ทั้งหมด 13,000 เอเคอร์ Mitchell ได้ปรับปรุงพื้นที่ลุ่มหนองบึงต่างๆเพื่อทำประโยชน์ โดยสนับสนุนผู้เช่าที่ดินจากเขาทำแบบเดียวกัน Mitchell ได้ทำประโยชน์อย่างมากให้ชาวไอริชพื้นถิ่นผู้ซึ่งกำลังฟื้นตัวจากยุคอดอยากยากแค้นโดยให้งาน ที่พัก และ สร้างโรงเรียนให้ลูกๆของผู้ที่ทำงานกับเขา Mitchell ทำงานด้านการเมืองด้วยเช่นกันโดยเป็นตัวแทนของ Galway ในสภาไอร์แลนด์กว่า 14 ปี จนกระทั่งต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากการตายอย่างกระทันหันของ Margaret และลูกสาวของพวกเขาก็เสียชีวิตลงภายหลัง
ในปี 1903 Mitchell ได้ขายปราสาทให้กับ Duke และ Duchess of Manchester ภายหลังทั้งคู่มีปัญหาด้านการเงินจนปราสาทต้องตกเป็นของ Ernest Fawke นักธนาคารชาว London ต่อมาในปี 1920 กลุ่มแม่ชี The Irish Benedictine Nuns ได้เข้าซื้อปราสาท Kylemore และได้เปลี่ยนเป็นวัด หรือที่เรียกว่า Kylemore Abbey โดยมีส่วนที่เป็นทั้งโรงเรียนประจำนานาชาติและโรงเรียนแบบไปกลับสำหรับชาวพื้นเมือง เปิดทำการในปี 1923 และปิดทำการในเดือนมิถุนายน 2010 ตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป
ปัจจุบัน Kylemore Abbey ส่วนสวนคือ Victorian Walled Garden เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเขตตะวันตกของไอร์แลนด์โดยกลุ่มแม่ชียังอาศัยอยู่ที่นี่และทำงานในฐานะผู้จัดการของ Kylemore Trust ค่าเข้าชม Kylemore Abbey & Victorian Walled Garden 13 ยูโร/ผู้ใหญ่ 1 คน
Benbulben Mountain อยู่ทางทิศเหนือของ Sligo Town ใน Co. Sligo โดยห่างออกมาประมาณ 16 กม. เป็นภูเขาที่โดดเด่นที่สุดของไอร์แลนด์ บางครั้งถูกเรียกว่า Table Mountain เนื่องจากมียอดเรียบแบนและด้านข้างตัดตรงลักษณะคล้ายโต๊ะ
ด้านบนของภูเขามีลักษณะเฉพาะคือมีลักษณะเป็นร่องคลื่นที่ถูกกัดเซาะของหินปูนและหินดินดานคล้ายกลีบของผ้าปูโต๊ะ ความโดดเด่นของ Benbulben Mountain ยังมาจากบทประพันธ์ของกวีเอกรางวัลโนเบลชาวไอริช William Butler Yeats หรือ W.B.Yeats ผู้ที่เกิดใน Co. Sligo
ผลงานโด่งดังของเขาชิ้นหนึ่งมีชื่อว่า ‘Under Ben Bulben’ ก่อนที่ W.B.Yeats จะเสียชีวิตที่ Menton ในฝรั่งเศสเมื่อปี 1939 ได้ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ว่า ให้ฝังศพเขาบนภูเขาที่ Menton และหลังจากนั้นประมาณ 1 ปีให้ขุดร่างของเขาขึ้นมาและนำไปไว้ที่ Sligo จนในปี 1948 ร่างของเขาได้ถูกนำมาฝังที่สุสาน Drumcliff ในบริเวณใกล้ๆ Benbulben Mountain ในรูปพุ่มต้น Gorse ออกดอกสีเหลืองบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆไปทั่วบริเวณ
Classiebawn Castle ตั้งอยู่บริเวณ แหลม Mullaghmore ทางด้านเหนือสุดของ Co. Sligo
ปราสาทสไตล์ Neo-Gothic ถูกสร้างขึ้นในปี 1856 เพื่อ Lord Palmerson และถูกใช้เป็นบ้านพักตากอากาศในฤดูร้อนและล่าสัตว์ในฤดูหนาว หลายตระกูลที่ครอบครองต่อๆกันมาก็ใช้เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันคือไม่ได้อยู่อาศัยถาวร เจ้าของสุดท้ายคือ Hugh Tunney ที่ซื้อปราสาทมาในปี 1991 ก็ใช้เป็นบ้านตากอากาศเท่านั้น
ปัจจุบันก็ยังเป็นสถานที่ส่วนบุคคลไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม ในรูปถ่ายบริเวณ Mullaghmore Head เห็นหาดลักษณะเป็นหินแผ่นใหญ่เอียงรับคลื่นจากมหามสุทรแอตแลนติก โดยมีฉากหลังเป็น Benbulben Mountain เห็นอยู่ไกลๆ
จาก Mullaghmore เราขับรถมุ่งหน้าขึ้นไปยัง Buncrana เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่บริเวณคาบสมุทร Inishowen ทางตอนเหนือของ Co. Donegal ซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 125 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 45 นาที ก่อนถึง Buncrana ประมาณ 18 กม. ใกล้พรมแดน Northern Ireland เราขับรถขึ้นไปชม Grianan of Aileach บนภูเขา Grianan
Grianan of Aileach เป็นป้อมปราการหินมีรูปทรงคล้ายลานแสดงกลางแจ้ง อยู่ 250 ม.เหนือระดับน้ำทะเล ต้นกำเนิดของป้อมย้อนรอยไปได้ถึงช่วง 1700 BC สมัยชาว Tuatha de Danann ที่มาบุกรุกดินแดนแห่งนี้ก่อนชาว Celts โดยเลือกทำเลที่ดีที่สุดในการสร้างป้อม บนภูเขา Grianan สามารถมองเห็นทัศนียภาพได้กว้างไกลรอบทิศโดยสามารถมองเห็นได้ทั้งทะเลสาบ Swilly ทะเลสาบ Foyle และมองเห็นไปไกลถึงอาณาเขตที่เป็น Derry ของ Northern Ireland
ในปัจจุบัน Grianan of Aileach ในช่วงศตวรรษที่ 5-12 เคยเป็นบัลลังก์ของพวก O’Neils และถูกทำลายโดย Murtogh O’Brien กษัตริย์แห่ง Munster Grianan of Aileach ที่เห็นในปัจจุบันเป็นโครงสร้างที่ถูกซ่อมแซมในช่วงปี 1874-1878 โดย Mr. Walter Bernard of Derry โครงสร้างเป็นกำแพงหนา 4 ม. สูง 5 ม. เส้นผ่าศูนย์กลางภายใน 23 ม.
ระหว่างทางของประเทศนี้มีวัวหรือแกะเต็มทุ่งไปหมด ได้บรรยากาศของการทำไร่อย่างมาก พื้นที่ทำปศุสัตว์น่าจะเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของทั้งประเทศนี้
Lough Swilly หรือ Lake Swilly หรือ ทะเลสาบ Swilly เป็นทะเลสาบที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเมือง Buncrana ระหว่างคาบสมุทร Inishowen และคาบสมุทร Fenad บริเวณส่วนเหนือสุดของประเทศไอร์แลนด์ Lough Swilly มีความยาวถึง 40 กม.จาก มหาสมุทรแอตแลนติกเข้ามายัง Co. Donegal
ชายฝั่งมีความสวยงามจากความหลากหลายของหน้าผา หาดทราย และหาดหิน Lough Swilly นับเป็นสถานที่ๆมีความสำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์เพราะเป็นสถานที่ต้นกำเนิดแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง ‘Amazing Grace’ หนึ่งในเพลงที่เป็นที่จดจำและกล่าวถึงมากที่สุดในชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ
John Newton เกิดในปี 1725 ใน London และเริ่มออกค้าขายทางทะเลกับพ่อของเค้าเมื่ออายุ 11 ปี ต่อมาเมื่อเขาเดินเรือเองเขาได้เปลี่ยนเรือค้าขายสินค้าเป็นเรือค้าทาสโดยเดินทางขึ้นลงไปซื้อขายทาสยัง Sierre Leone ใน Africa บนเส้นทางที่มุ่งหน้าไปค้าทาสยังอเมริกาเขาถูกหักหลังโดยหัวหน้าชาวอาฟริกันที่เขาติดต่อค้าขายด้วยและถูกปฏิบัติเช่นเดียวกับทาสชาวอาฟริกัน อย่างไรก็ตามเขาได้รับการช่วยเหลือและแบ่งน้ำแบ่งอาหารให้จากเหล่าทาสชาวอาฟริกันที่เขาเคยกดขี่ข่มเหง ภายหลังเขาได้รับการช่วยเหลือให้หลบหนีมายังเรือ ‘The Greyhound’ โดยสารกลับมายังประเทศอังกฤษ แต่บนเรือนั้นเขากลับกลายมาเป็นคนเย่อหยิ่ง ดูหมิ่นศาสนา และจ้องจะทำร้ายคนที่มีความเชื่อแบบคริสเตียน
ระหว่างการเดินทางที่ยาวนานและอันตรายนั้นเขาลองหยิบหนังสือคริสเตียนที่พบอยู่บนเรือขึ้นอ่า เขาระลึกถึงความบาปอันเลวร้ายของตัวเองและเกิดความกลัวความจริงในหนังสือนั้น วันรุ่งขึ้นคือ 10 มีนาคม 1748 เรือที่เขาโดยสารมาได้พบกับพายุรุนแรงและกำลังจะจม นั่นเป็นตอนที่เขาร้องขอเมตตาจากพระเจ้าเพื่อให้เขามีชีวิตรอด เป็นเวลาหลายสัปดาห์ที่พายุสงบลงเรือที่เสียหายนั้นไม่จมและล่องมาถึงฝั่งที่ Lough Swilly ในวันที่ 8 เมษายน 1748 เมื่อพวกเขาขึ้นฝั่งที่นี่ได้เพียง 2 ชั่วโมงก็เกิดลมพายุรุนแรงทำให้ทะเลปั่นป่วนอีกครั้ง ที่นี่เองทำให้เขารู้ว่าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเขาและไว้ชีวิตเขา
หลังจากเหตุการณ์นี้เองที่เขาได้ปลูกความเชื่อแบบคริสเตียน แต่งเพลง ‘Amazing Grace’ เพื่อสรรเสริญพระเจ้าจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและหันมาทำงานต่อต้านการค้าทาส ในปี 1807 ไม่นานก่อนที่เขาจะเสียชีวิต กฏหมายต่อต้านการค้าทาส Trans-Atlantic Slave Trade ได้ถูกบังคับใช้หลังจากที่เขาทำงานผลักดันกฏหมายนี้มากว่า 20 ปี ปัจจุบันมีการจัดงานเกี่ยวกับ ‘Amazing Grace’ อย่างต่อเนื่องตลอดปี เช่น Amazing Grace Concert, Amazing Grace Festival เป็นต้น
แม่แกะพาลูกแกะออกเดินบนถนนสายเล็กๆระหว่างหุบเขาในบริเวณคาบสมุทร Inishowen
The Guildhall ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Derry ใน Co. Londonderry ในเขต Northern Ireland, UK ห่างจากพรมแดน Republic of Ireland บริเวณ Co. Donegal เพียงประมาณ 7 กม.
The Guildhall ตั้งอยู่บริเวณริมเขตกำแพงเมืองเก่า อาคารหินทรายสีแดง แบบ Neo-Gothic และ Tudor นี้ ถูกสร้างขึ้นในปี 1887 โดยกลุ่ม The Honorable The Irish Society เพื่อเป็นที่ใช้การของเมือง The Guildhall ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของสถาปัตยกรรมและการตกแต่งด้วยกระสีสวยงาม ช่วงปี 2012-2013 อาคารได้ถูกปิดลงเพื่อทำการบูรณะทั้งภายในและภายนอก
ด้านหน้าของอาคารคือ Guildhall Square มีลานน้ำพุประดับและนับเป็นลานเมืองหลักของ Derry ปัจจุบันทั้ง The Guildhall และ Guildhall Square ถูกใช้เพื่อเป็นศูนย์ให้ข้อมูลนักท่องเที่ยว สถานที่จัดนิทรรศการ สถานที่จัดแสดงทางวัฒนธรรม คาเฟ่ ทั้งหมดเปิดให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
จาก Derry เราขับรถมุ่งหน้าขึ้นมายังบริเวณชายฝั่งที่เรียกว่า Causeway Coast Way ซึ่งมีความยาวทั้งหมดประมาณ 53 กม.จาก Portstweart Co. Londonderry จนถึง Ballycastle Co. Antrim เราเริ่มสำรวจ Causeway Coast Way จากเมือง Portrush ซึ่งห่างจาก Derry ขึ้นมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 60 กม. ในภาพ ความสวยงามของจุดชมวิวบนเส้นทางระหว่าง Portrush และ Giant’s Causeway
Dunlace Castle ตั้งอยู่บนเส้นทางระหว่าง Portrush และ Giant’s Causeway โดยอยู่ก่อนถึง Giant’s Causeway ประมาณ 7 กม. Dunlace Castle ถูกสร้างบนทำเลที่สวยงามเหลือเชื่อคืออยู่บนปลายแหลมของหน้าผาหินบะซอลท์ขรุขระที่ตัดตรงลงสู่ทะเล หลักฐานบางส่วนของปราสาทแสดงว่ามันถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 โดยในปี 1513 ถูกครอบครองโดยตระกูล MacQuillans
ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 16-17 ได้กลายเป็นที่อยู่ของตระกูล MacDonnell ผู้ครองตำแหน่ง The Earls of Antrim ตั้งแต่ปี 1620 ด้วยสภาพธรรมชาติและภูมิอากาศที่รุนแรงแถบนี้ทำให้ในปี 1639 มีโครงสร้างของปราสาทส่วนหนึ่งรวมทั้งส่วนห้องครัวได้ทลายลงสู่ทะเลด้านล่างทำให้มีคนรับใช้เสียชีวิตไปถึง 7 คน หลังจากนั้นปราสาทก็ถูกละทิ้งไม่ได้รับการดูแล ปัจจุบันปราสาทถูกดูแลโดยหน่วยงานรัฐบาลและเปิดให้เข้าชมโดยค่าเข้าชม 5 ปอนด์/ผู้ใหญ่ 1 คน
Giant’s Causeway เป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลใน Co. Antrim มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ โดยมีองค์ประกอบหลักคือแท่งหินบะซอลท์แบบที่มีด้านมากกว่า 4 ด้าน ขนาดใหญ่กว่า 40,000 แท่งที่เกาะเกี่ยวกันอยู่เป็นพื้นที่กว้างทอดตัวลงไปในทะเล
จากการศึกษาพบว่าแท่งหินเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 60 ล้านปีมาแล้ว โดยเป็นผลจากการเกิดปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ Giant’s Causeway เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์และเป็นที่นิยมที่สุดของ Northern Ireland มากว่า 300 ปี และได้รับการประกาศเป็นมดกโลกจาก Unesco ในปี 1986
ตำนานของ Giant’s Causeway บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับยักษ์ชาวไอริชที่ชื่อ Finn McCool มีคู่แข่งที่ชื่อ Benandonner ซึ่งเป็นยักษ์ชาวสก็อตติช Finn McCool จึงได้สร้าง Giant’s Causeway ขึ้นมาเพื่อเป็นทางเดินข้ามทะเลไปท้าทายคู่ต่อสู้ถึงสก็อตแลนด์ เมื่อทางเดินถูกสร้างเสร็จมันถูกตัดตรงจาก Antrim ไปยัง Staffa ในสก็อตแลนด์ Benandonner รับคำท้าและเดินข้ามมาสู้ถึงไอร์แลนด์ พอมาถึงจริงๆ Finn McCool เกิดความกลัวในความใหญ่โตตั้งแต่เห็น Benandonner ไกลๆที่เส้นขอบฟ้า Finn McCool จึงกลับไปหาภรรยาของตนและแกล้งปลอมตัวเป็นลูกยักษ์แบเบาะ เมื่อ Benandonner มาถึงเห็นลูกยักษ์ตัวปลอมก็เกิดความกลัวว่าพ่อยักษ์ Finn McCool จะตัวใหญ่แค่ไหน จึงรีบหนีกลับไปที่สก็อตแลนด์
ที่ Giant’s Causeway’s Visitor Centre แสดงนิทรรศการแบบ Interactive และเป็น Tourist Information Centre ที่ทันสมัยครบครัน เปิดให้เข้าชมโดยค่าเข้าชม 8.50 ปอนด์/ผู้ใหญ่ 1 คน
The Dark Hedges เป็นแนวซุ้มต้น Beech สวยงามอยู่บริเวณ Bregagh Road ในเขต Ballymoney ห่างจาก Giant’s Causeway มาทางทิศใต้ประมาณ 21 กม. Jame Stuart สร้างบ้านสไตล์ Georgian ขึ้นในปี 1775 และตั้งชื่อว่า Gracehill House ตามชื่อภรรยาของเขา Grace Lynd แนวต้น Beech ถูกปลูกโดยครอบครัว Stuart ที่ตั้งใจให้เป็นซุ้มทางเข้าที่สวยจับใจแขกของครอบครัว ปัจจุบันที่ดินบริเวณ Gracehill House ได้ถูกพัฒนาเป็นสนามกอล์ฟ Gracehill Golf Club ส่วนบริเวณ The Dark Hedges ได้กลายเป็นส่วนถนนสาธารณะและเป็นจุดถ่ายรูปที่นิยมมากแห่งหนึ่งใน Northern Ireland
ในบริเวณ Causeway Coast Way มีหลายจุดที่เป็นสถานที่ถายทำภาพยนตร์เรื่อง Game of Thrones เช่น Downhill Beach Co. Londonderry, Larrybane Carrick-a-Rede, Ballintoy Harbour, Murlough Bay, Cushendun Cavesและ The Dark Hedges ใน Co. Antrim โดย The Dark Hedges ถูกสมมติเป็น King’s Road ในฉากที่ Ayra Starkหลบหนีมาจาก King’s Landing (ท่าเรือของกษัตริย์)
ผลงานสถาปัตยกรรมแบบ European Neo-Classicism ระดับ Masterpiece ชิ้นนี้ใช้เวลาสร้างกว่า 10 ปี โดยแล้วเสร็จในปี 1791 ใช้งบประมาณกว่า 2 แสนปอนด์ในสมัยนั้น John Beresford ผู้เป็นประธานคณะกรรมาธิการสรรพากรและคณะทำงานผู้ทำโครงการสร้างถนนและอาคารสาธารณะใน Dublin ได้เลือกสถาปนิกผู้ออกแบบคือ James Gandon จากอังกฤษ ส่วนรูปปั้นสวยงามที่ประดับอาคารเป็นฝีมือของ Edward Smyth นักปั้นผู้มีชื่อเสียงชาวไอริช เริ่มแรกอาคารถูกใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของสรรพสามิตและต่อมาได้ถูกใช้สำหรับหน่วยงานท้องถิ่นของรัฐบาล
ในช่วงปี 1921 อาคารได้ถูกเผาระหว่าง The Irish War of Independence การบูรณะครั้งแรกเสร็จสิ้นในปี 1928 การบูรณะครั้งที่ 2 ช่วงปี 1980s และเสร็จสมบูรณ์ทันเวลาครบรอบ 200 ปี ของ The Custom House ในปี 1991
กว่า 1,000 ปี ต่อมา ช่วงหลังจากชาว Normans ได้มาถึงในสมัยศตวรรษที่ 12 และช่วงกระบวนการอันเชื่องช้าในการรวม Ireland เข้ากับ Anglo-Norman (ต่อมาคืออังกฤษ) กล่าวถึงในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ที่ Dublin แออัดไปด้วยกลุ่มชาว Catholics ผู้ยากจนยากที่จะสะท้อนถึงภาพลักษณ์ที่ดีของชนชั้นกลางและชั้นสูงของพวก Anglo-Norman ที่เป็น Protestant กลุ่มคนผู้มีอำนาจเหล่านี้ต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน Dublin พวกเขากำหนดที่จะเปลี่ยนเมืองจากภาพลักษณ์ของยุคกลางเป็นมาเป็นมหานครสมัยใหม่แบบ Anglo-Irish ถนนหลายสายถูกขยาย มีการสร้างพื้นที่สาธารณะสีเขียวแบบ Square ขึ้นหลายแห่ง บ้านแบบ Town House มากมายได้ถูกสร้างขึ้น โดยทั้งหมดมีรูปแบบที่ถูกเรียกภายหลังว่าแบบ Georgian เป็นเวลาสมัยหนึ่งที่ Dublin กลายเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของจักรวรรดิอังกฤษและทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีถ้าไม่นับส่วนที่ยากจนของชุมชมใหญ่ชาว Catholics ที่ยังคงต้องอาศัยอยู่ในสลัม
ยุครุ่งเรืองของสมัย Georgian กลับกลายต้องหยุดชะงักอย่างลงอย่างกระทันทันหลังจากการออกกฏ Act of Union ในปี 1801 เมื่อไอร์แลนด์ถูกรวมเข้ากับอังกฤษอย่างเป็นทางการ รัฐสภาเดิมที่แยกกันได้ถูกปิดตัวลง หลังจากนั้นไอร์แลนด์ได้กลายเป็นพี่น้องที่น่ารำคาญของอังกฤษรวมถึงก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ระส่ำระสายของเศรษฐกิจและการเมือง ต่อมาในช่วงปี 1845-1851 ที่ไอร์แลนด์ต้องพบกับยุคอดอยากยากแค้นหรือยุค Potato Famine นั้น ประชากรชาว Dublin ได้ถูกกลืนโดยฝูงชนผู้อดอยากที่อพยพมาจากทางตะวันตกของประเทศ ในขณะที่ก้าวเข้าสู้ศตวรรษที่ 20 Dublin อยู่ในยุดที่ถดถอยและหดหู่จากความยากจน โรคภัย และปัญหาสังคมรุนแรง ซึ่งภาวะนี้ทำให้ชาว Dublin ส่วนใหญ่ไม่พอใจมากและมีความกระหายในความเปลี่ยนแปลง
ในเหตุการณ์ Easter Rising ในปี 1916 เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มกบฏชาวไอริชต้องการหยุดอำนาจปกครองของอังกฤษในไอร์แลนด์ ซึ่งเกิดการระดมยิงและต่อสู่กันระหว่างกองทหารอังกฤษและกลุ่มกบฏ อาคารและสถานที่สำคัญหลายแห่งเช่น The General Post Office, The Four Courts, Jacob’s Factory, St. Stephen’s Green ได้ถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการและแหล่งรวมพล สร้างความเสียหายมากมายให้กับสถานที่เหล่านั้นในเวลาต่อมา ขณะนั้นชาว Dublin ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ฝักใฝ่ในกลุ่มกบฏมากนักแต่เมื่อหัวหน้ากลุ่มกบฏถูกสังหารก็เกิดเปลี่ยนใจหันมาเข้าข้างมากขึ้น ส่วนใหญ่ชาว Dublin จะเป็นฝ่ายป้องกันตัวมากกว่า
ในช่วงต่อมาเป็นที่น่าประหลาดใจที่ว่า ในขณะที่ทั้งประเทศกำลังก้าวสู่ War of Independence ยุคสงครามประกาศอิสรภาพอย่างเต็มตัวกับอังกฤษ ใน Dublin เองกลับไม่ใช่เมืองหลักของสถานการณ์เหล่านี้ ในปี 1922 ไอร์แลนด์ได้ประกาศเป็นอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ยกเว้นในส่วน Northern Ireland หลังจากนั้นจนถึงช่วงกลางปี 1923 รวมเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปี ที่ไอร์แลนด์ต้องเข้าสู่ยุคสงครามกลางเมืองหรือ Civil War เนื่องจากมีความขัดแย้งกันเองระหว่างชาวไอริชที่ต้องการอิสรภาพและชาวไอริชที่ยังฝักใฝ่อังกฤษ ความขัดแย้งนี้รุนแรงมากกว่าสงครามประกาศอิสรภาพและใช้เวลาส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ 20 ในการเยียวยา
ช่วงหลังสงครามกลางเมืองไอร์แลนด์ประสบปัญหาการฟื้นตัวที่ช้า มีการว่างงานและการอพยพออกนอกประเทศที่สูงจนถึงช่วงยุค 1960s ที่เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งเมือง Dublin มีการขยายตัวออกมารอบๆ แต่ก็ยังเผชิญปัญหาต่างๆอยู่บ้างจนมาถึงช่วงรุ่งเรืองสุดขีดในปี 1994-2000 หรือที่เรียกว่ายุค Celtic Tiger นั่นเอง ยุคนี้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างมากจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทำให้ Dublin มีการขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งและมีการสร้าง Landmark ใหม่ของเมืองคือ Spire Monument บน O’Connell St. ใจกลางเมือง ในปี 2002 อนุเสาวรีย์เสาสแตนเลสสูง 120 ม.นี้สะท้อนภาพลักษณ์การเจริญเติบโตของเมือง ช่วงเศรษฐกิจขยายตัวนี้ทำให้ประชากรที่อาศัยอยู่ใน Dublin เพิ่มถึง 1.2 ล้านคน จากจำนวนประชากร 4.2 ล้านคนทั่วประเทศ และยังทำให้เกิดบรรยากาศที่มีความเป็น International มากขึ้นของเมืองเนื่องจากมีประชากรหลาหลายชาติพันธุ์ได้ย้ายมาทำงานที่นี่
ปัจจุบัน Dublin กำลังฟื้นตัวจากพิษเศรษฐกิจในปี 2008 และยังคงเป็นที่ดึงดูดใจจากนักเดินทางและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก Dublin City มีชื่อเสียงกล่าวขวัญในเรื่องเรื่องราวประวัติศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ วรรณกรรม ไปจนถึงสีสันในเวลากลางคืน Dublin City เป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจของนักดนตรี ศิลปิน และนักเขียนมากมาย จนได้รับการยกย่องให้เป็น Unesco City of Literature หรือ เมืองแห่งวรรณกรรมนั่นเอง Dublin City ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ระดับ world class หลายแห่ง ร้านอาหารชั้นเลิศ และเป็นศูนย์รวมการนันทนาการตั้งแต่ดนตรีร็อค ดนตรีคลาสสิค ละครเวที กิจกรรมทางวรรณกรรม รวมไปถึง Irish Dance ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ Dublin City รวมถึง St. Patrick Cathedral, Old Jameson Distillery, Guinness Storehouse, Dublin City Gallery, National Museum of Ireland – Decorative Arts&History, Custom House, Trinity College, Book of Kells (Long Room), Christ Church Cathedral, Dublin Castle, St. Stephen’s Green, Merrion Square, General Post Office Building, Jame Joyce Cultural Centre, Dublin Writer Musuem, Spire, ย่านTemple Bar, ย่าน O’Connell St. และ ย่าน Grafton St. เป็นต้น
Christ Church Cathedral ถูกสร้างขึ้นประมาณปี 1030 เพื่อเป็น Viking Church
ต่อมาในศตวรรษที่ 12 สมัยของ John Cumin ผู้เป็น archbishop ของ Anglo-Normans คนแรกเขาได้เปลี่ยนโบสถ์แบบเดินให้เป็นแบบ Romanesque และภายหลังเป็นแบบ Gothic ต่อมาโบสถ์ได้ถูกทำลายและซ่อมแซมหลายครั้งโดยเป็นผลพวงของสงครามและตามแบบผู้มีอิทธิพลและกษัตริย์ของยุคต่างๆ สภาพโบสถ์ที่เห็นในปัจจุบันนี้ถูกปรับอย่างมากให้เป็นแบบ Victorian โดยการบูรณะครั้งใหญ่ออกแบบโดย George Edmund Street ในช่วงปี 1871-1878
ปัจจุบันผู้คนมากมายหลั่งไหลมาชื่นชมความงามทั้งภายนอก การตกแต่งภายใน หนึ่งในห้องใต้ดินของโบสถ์ที่มีตั้งแต่สมัยยุคกลางที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของไอร์แลนด์และอังกฤษ ทีมร้องเพลงประสานเสียงของโบสถ์ก็มีชื่อเสียงมากและได้รับเชิญให้เดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตทั่วประเทศ Christ Church Cathedral นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของ Dublin เปิดให้เข้าชมโดยค่าเข้าชม 6 ยูโร/ผู้ใหญ่ 1 คน
คิดว่าทุกท่านจะได้รับรู้คร่าว ๆ แล้วว่า IRELAND เป็นอย่างไร
สำหรับเรา ประเทศนี้มีหลายสถานที่ที่เป็นเสมือนฉากในเทพนิยายจริง ๆ และหวังว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์จากรีวิวนี้บ้างไม่มากก็น้อย
ครั้งต่อ ๆ ไปเราจะนำเอาสถานที่แปลก ๆ และสวยงามมานำเสนออีกนะครับ
ใครที่มีปัญหาอะไรสอบถามได้เลย และถ้าใครไม่มั่นใจที่จะไปเองอยากจะให้แนะนำทัวร์ก็ขอแนะนำ HC Bangkok http://goo.gl/19Sdyv ลองเข้าไปดูรายละเอียดได้เลย