Dubrovnik เมืองป้อมปราการสุดอลังการแห่งโครเอเชีย ไข่มุกแห่งAdriatic

1985

DUBROVNIK ภูผาป้อมปราการที่น่าเกรงขาม ตั้งตระหง่านอยู่หน้าทะเลอันแสนกว้างใหญ่  

นั่นเป็นคำกล่าวที่ใช้บรรยายถึงเมืองสวยแห่งทะเลเอเดรียติคแห่งนี้  Dubrovnik เป็นเมืองที่อยู่ทางใต้ของประเทศโครเอเชีย ตั้งอยู่ติดกับทะเลเอเดรียติค  ในภูมิภาค  Dalmatia  ได้รับการยอมรับในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดใจมากที่สุดในเมดิเตอร์เรเนียนมาอย่างช้านาน จนได้รับฉายาว่า ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติคเลยทีเดียว

Dubrovnik เป็นทั้งเมืองท่องเที่ยว เมืองท่า และศูนย์กลางการค้าขายของย่านนี้ ปัจจุบันมีประชากร 42615 คน และแน่นอนว่าเป็น 1 ในมรดกโลกตั้งแต่ปี 1979 

ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนั้นมีรากฐามาจากการค้าทางทะเลมาตั้งแต่สมัยอดีตอันยาวนาน โดนเฉพาะในศตวรรษที่ 15-16 ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของการค้าทางทะเลทีเดียว นั่นเองทำให้เมืองเติบโตขยับขยายอย่างรวดเร็ว 

เมืองเริ่มมีบทบาทในฐานะเมืองท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 1897 โดยโรงแรมแรกที่ได้ตั้งขึ้นคือ Imperial hotel  และจากนั้นมา ชื่อเสียงความสวยงามก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกำแพงรอบเมืองที่สวยงามและสมบูรณ์จนถือเป็น 1 ใน 10 เมืองที่มีกำแพงโบราณที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก และไม่เคยถูกทำลายแม้แต่ครั้งเดียวไม่ว่าผ่านสงครามมามากขนาดไหน จนเมื่อถึงการล่มสลายของยูโกสลาเวียในปี 1991 มีการก่อจราจล  จึงเกิดความเสียหายขึ้นจากระสุนปืน  แต่ก็นับว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับภาพรวมที่สมบูรณ์ของกำแพงทั้งหมด 

ตามตำนาน Dubrovnik ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 7 โดยเริ่มตั้งเมืองจากเกาะหินที่ชื่อ Laus  โดยจุดประสงค์ให้เป็นที่ลี้ภัยแก่ชาวเมือง Epidaurum ที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนี้

แต่ในปี 2007 พบหลักฐานชิ้นใหม่ที่มาค้านกับทฤษฎีเดิม โดยกล่าวว่าที่ตรงนี้มีการพัฒนามาอย่างยาวนานแล้วโดยชาวกรีกที่ล่องเรือมาตั้งถิ่นฐาน  ซึ่งในปัจจุบันก็ยังสรุปได้ไม่แน่ชัดว่าทฤษฎีไหนที่ถูกต้อง 

ปัจจุบัน Dubrovnik เป็นจุดหมายการท่องเที่ยวของคนทั่วทั้งโลก เป็นเมืองในฝันของคนมากมาย ในช่วงฤดูร้อน ผู้คนทั่วยุโรปต่างยกให้เป็นเมืองที่น่าเที่ยวที่สุดในทวีป 


การเดินทางมา Dubrovnik

โดยเครื่องบิน 

สามารถนั่งเครื่องไปลง Dubrovnik ได้เลยหลายสายการบิน สนามบิน Dubrovnik อยู่ห่างจากเมืองเก่าไปราว 18 กิโลเมตร จากนั้นนั่ง Taxi หรือรถบัสสนามบินเข้ามาที่เมือง หรือติดต่อในรถที่โรงแรมมารับก็ได้

การซื้อตั๋วเครื่องบินเราสามารถซื้อผ่านเวปอย่าง Traveloka ได้เลย โดยตอนนี้เค้าเพิ่มความสะดวกขึ้นมาด้วยการให้เช็คอินออนไลน์ในแอพลิเคชั่นของ Traveloka ได้เลยนะ  การบินไทย/ไทยสมายล์/ไทยไลอ้อนแอร์    ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเช็คอินออนไลน์ผ่านหน้าเว็บไซต์ของสายการบิน   ดีสุด ๆ ตรงที่มีเวลาเหลือก่อนขึ้นเครื่อง ยิ่งสำหรับคนที่ไม่ต้องโหลดกระเป๋า ก็ไม่ต้องเสียเวลารอบอร์ดดิ้งไทม์ได้เลย

เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่   https://www.traveloka.com/th-th/checkin

จองตั๋วผ่าน TRAVELOKA ได้ทางนี้  https://www.traveloka.com/th-th/flight-to-croatia

โดยรถบัส 

การเดินทางสาธารณะหลักของโครเอเชียคือรถบัส มีรถบัสเชื่อมต่อหลาย ๆ เมืองมาที่ Dubrovnik ได้แก่

Zagreb –> Dubrovnik – 10 ชั่วโมง 

Split –> Dubrovnik – 4,5 ชั่วโมง

Rijeka –> Dubrovnik – 11 ชั่วโมง

Medjugorje –> Dubrovnik – 3 ชั่วโมง

สามารถหารายละเอียดและตารางเดินรถได้ที่ http://www.autobusi.hr/home/ 

ข้อควรระวัง ระหว่างทางไปที่ Dubrovnik เราจะต้องวิ่งผ่านประเทศเซอเบีย  ฉะนั้นเตรียมเอกสาร Passport ให้เรียบร้อย เพราะบริเวณชายแดนจะมีการเรียกตรวจ 


การเดินทางในเมือง

ในตัวเมืองเก่าสามารถเดินได้จนทั่ว (รถเข้าเมืองเก่าไม่ได้) แต่ถ้าจะไปนอกเมืองก็มีวิธีเดินทางดังนี้

BUS

การเดินทางหลักคือ City bus โดยมีหลายสายให้บริการวิ่งทั้งวัน  โดยจะมาทุก ๆ 20-30 นาที   โดยบัสมีตั้งแต่สาย 1-9 และมีแยกเป็นสายย่อยเช่น 1A 1B 1C  แต่พอถึงกลาง OLD TOWN แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้บัส เดินได้จนทั่วบริเวณ   สามารถซื้อตั๋วได้ที่ร้านค้าบริเวณป้ายถ ราคา 12KUNA  ถ้าซื้อกับคนขับบนรถจะราคา 15 KUNA  

TAXI

ราคาtaxi ที่นี่ไม่ได้แพงมาก ต่อให้วิ่งไกลแค่ไหนในบริเวณเมือง Dubrovnik ก็ไม่เกิน 100 Kuna อย่างแน่นอน ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราว 50-60 Kuna  ถ้ามากัน 4 คน การนั่งรถ Taxi ก็ราคาพอ ๆ กับนั่งบัสเลย แต่สะดวกสบายมากกว่า แนะนำแบบนี้มากกว่า 


สถานที่ท่องเที่ยว


City walls with forts

เวลาทำการ ทุกวัน 9.00 –17.00  ( พคตค ถึง 19.00 )

ค่าเข้าชม 100Kuna 

จุดหมายหลักของผู้ที่มาเยือนทุกคนคือการได้เยี่ยมชมกำแพงที่แกร่งดังภูผาและป้อมปราการที่แสนตระการตานี่เอง ด้วยเหตุผลที่ว่า กำแพงที่นี่นับเป็นกำแพงที่สมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปเลยทีเดียว

ตัวกำแพงที่ทอดยาววางตัวเรียงกันกว่า 1940 เมตรนี้ประกอบไปด้วยป้อมปราการ 5 ป้อม และหอคอยอีก 16 แห่ง  แต่แรกเริ่มนั้นในช่วงก่อสร้าง กำแพงเมืองส่วนใหญ่ทำจากไม้ ก่อนที่จะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ให้เป็นหินแบบในปัจจุบันในราวศตวรรษที่ 12-17 โดยก่อสร้างให้มีความสูงของกำแพงมากเป้นพิเศษ โดยส่วนที่สูงสุดมีความสูงกว่า 25  เมตรเลยทีเดียว  ส่วนกลุ่มป้อมปราการนั้นถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 และสร้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเมืองจนถึง ศตวรรษที่ 17 

กำแพงทำหน้าที่ปกป้องเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในยุโรปแห่งหนึ่งในสมัยนั้นมายาวนานกว่า 500ปี ผ่านศึกสงครามมาก็มาก แต่ไม่เคยถูกตีแตกเลย  ยิ่งกว่านั้น กำแพงยังถูกเสริมความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นหอทรงกลมเพื่อสังเกตการณ์และยิงธนู   คูเมืองที่ทำไว้โดยรอบกำแพง เอาไว้สกัดข้าศึกให้ช้าลง รวมถึงการติดตั้งปืนใหญ่อีกกว่า 120 กระบอก 

ตัวกำแพงทั้งหมดยังนับเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ดีเยี่ยมที่สุดเป็นอันดับสองของโลกอีกด้วย โดยทางเข้ากำแพงมีทั้งหมดสามทางด้วยกัน อยู่บริเวณรอบ ๆ เมืองเก่า เรียกว่าเดินไปตรงไหนก็เห็นทางขึ้นแน่นอน โดยทางเข้าทั้งสามอยู่บริเวณ St Lukes Church  ทางทิศตะวันออก St Saviours Church บริเวณทางเข้าเมืองเก่า และ Maritime Museum ใกล้ ๆ กับ St Johns Fort 

การเดินบนกำแพงนั้น จะทำให้รู้สึกเหมือนย้อนไปในอดีตวันวาน ในวันที่เมืองนี้เจริญรุ่งเรือง และมีกำแพงที่กล่าวขานกันว่าไม่มีวันโดนตีแตกเด็ดขาด  โดยเราจะเห็นธงสัญลักษณ์ของเมืองชูตระหง่านอยู่รอบบริเวณกำแพง เป็นเสมือนสิ่งยืนยันความภาคภูมิใจของชาวเมืองต่อกำแพงของพวกเขา


War Photo  Limited 

เวลาทำการ เฉพาะฤดูร้อน 9.00 –21.00 

ค่าเข้าชม 30Kuna

 จัดแสดงภาพถ่ายสงครามที่เกิดขึ้นในยุค 90 ที่ยูโกสลาเวีย  มีภาพหายากต่าง ๆ จัดแสดงอยู่อย่างมากมาย รวมถึงภาพการทำลายกำแพงของทหารในระหว่างสงครามด้วย 


Cathedral of the Assumption of the Virgin

เวลาทำการ ช่วงเช้าถึงบ่าย  

โบสถ์โรมันคาธอลิคในสไตล์บาโร๊คที่ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยในปี 1713   เคยเสียหายครั้งใหญ่ระหว่างสงครามอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนจะบูรณะกลับมางดงามเช่นปัจจุบัน

ตัวโบสถ์นั้นถูกตกแต่งอย่างงดงามและปราณีต ในแต่ละด้านมีเสาต้นใหญ่สี่ต้นประดับอยู่ ด้านบนประดับด้วยหน้าต่างในสไตล์บาโร๊ค กับจั่วรูปสามเหลี่ยม พร้อมประดับด้วยรุปปั้นนักบุญBlaise ซึ่งเป้นนักบุญอุปถัมป์ของเมือง 

ในระหว่างวันจะมีผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมอย่างมากมาย ถ้าต้องการบรรยากาศสงบ ขอแนะนำให้ไปในตอนเช้าก่อน 8.00 จะถ่ายรูปและดื่มด่ำบรรยากาศได้ดีกว่า


Sponza  Palace

พระราชวัง Sponza หรืออีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Divona  เป็นพระราชวังในยุคศตวรรษที่ 16  โดยชื่อแผลงมาจากภาษาลาติน Spongia 

ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยม ล้อมรอบคอร์ทภายใน สร้างในสไตล์ผสมผสานระหว่าง Gothic กับ Renaissance โดยเริ่มสร้างระหว่างปี 1516 ถัง1522 โดยสถาปนิก  Paskoje Miličević Mihov  ส่วนรูปปั้นประดับตกแต่งอื่น ๆ ปั้นโดย พี่น้องจิตรกร  Andrijić 

ตัวพระราชวังนั้นเคยถูกใช้งานมาแล้วอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กรมศุลกากร  โรงเก็บของ  ที่ตีอาวุธ ที่เก็บสมบัติ ธนาคาร หรือแม้แต่โรงเรียน  โดยตัวอาคารเสี่ยงที่จะเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1667 แต่ก็รอดมาได้โดยไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ เลยอย่างปาฎิหารย์  

ในปัจจุบันเป็นสถานที่เก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเมืองอย่างมากมาย ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 โดยหลักฐานโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุดคือจดหมายที่เขียนในปี 1022 

ส่วนหนึ่งของพระราชวังได้แบ่งพื้นที่เป็น Memorial Room of the Defenders of Dubrovnik  ซึ่งเก็บรวบรวมรูปภาพของเด็กหนุ่มผู้ประสบภัยจากสงครามในระหว่างปี 1991 -1995 ไว้ 


Onofrio Fountain

หนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมือง  โดยถูกสร้างขึ้นในปี 1438  ให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบชลประทานในยุคนั้น  โดยน้ำที่นำมาใช้ในการทำน้ำพุนั้น ถูกส่งมาจากบ่อน้ำที่อยู่ไกลไปมากกว่า 12 กิโลเมตร 


Franciscan Monastery

เวลาทำการ เฉพาะฤดูร้อน 9.00 –18.00 

ค่าเข้าชม 30Kuna

อารามเก่าของเมืองที่ตั้งอยู่ติดกับโบสถ์ St Saviours  บนถนน Stradun ถนนสายหลักของย่านเมืองเก่านั่นเอง โดยเริ่มต้นก่อสร้างตั้งแต่ปี 1317 และใช้เวลาก่อสร้างค่อนข้างยาวนานหลายปี เพราะงานตกแต่งที่ละเอียดละลอ ทำให้ในปัจจุบันถือว่าเป็นหนึ่งในมรดกทางศิลปะวัฒนธรรมที่ล้ำค่ามากของโครเอเชีย 

บางส่วนของอาคารถูกทำลายไปในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ โดยการพังทลายครั้งใหญ่เกิดขึ้นใยปี 1667 จากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ก่อนจะได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในสไตล์ Baroque จนสวยงามเหมือนในปัจจุบัน 


The Serbian Orthodox Church

โบสถ์คริสต์นิกาย ออโทดอกซ์ ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1871 – 1907  โดยสิ่งที่น่าสนใจของโบสถ์นี้ก็คือเป็นทั้งโบสถ์และพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมสิ่งสำคัญของศาสนาในนิกาย Orthodox  ไว้หลายอย่าง ทั้งรูปวาดและสิ่งของมีค่าอื่น ๆ


Minčeta

ป้อมปราการที่มีชื่อเสียงและสวยงามน่าประทับใจที่สุดในหมู่ป้อมปราการทั้งหมดที่ตั้งอยู่รอบกำแพงเมือง และถือเป็นหัวหอกสำคัญในการป้องกันเมืองจากข้อศึกที่มารุกรานทางบก

โดยตัวป้อมถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1319  โดยการควบคุมของ Nićifor Ranjina  และได้ถูกขยายโครงสร้างให้ใหญ่และแข็งแรงมากขึ้นในเวลาต่อมา และด้วยความสูงใหญ่ของป้อมนี้เอง ทำให้ด้านบนป้อมเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง


OLD PORT

ท่าเรือเก่าแก่ของเมืองที่นับว่าเป็นจุดท่องเที่ยวหลักที่คนมาเยือนทุกคนจำเป็นต้องแวะเยี่ยมเยือน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเก่าตัวท่าเรือถูกขนาบข้างด้วยเขื่อนทั้งสองข้างที่สร้างขึ้นเพื่อกันคลื่น   ท่าเรือทั้งหมดถูกออกแบบโดยสถาปนิกท้องถิ่น Paskoje Miličević  โดยในบริเวณท่าเรือเราจะเห็นร้านค้าร้านอาหารตั้งเรียงรายกันอยู่เต็มไปหมด แลดูคึกคักทั้งวันเลย บางครั้งก็จะเห็นชาวเมืองนำเบ็ดมาตกปลากันอย่างเพลิดเพลิน

หากต้องการซึมซับบรรยากาศเมืองริมทะเลให้ถึงที่สุด แนะนำให้ลองหาร้านอาหารที่ถูกใจนั่งทานอาหารเคล้าบรรยากาศของเมืองดูซักหนึ่งมื้อ 


Lapad Beaches

หาดยอดนิยมของเมือง  และไม่ใช่โด่งดังแค่ในหมู่ชาวเมืองเท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวจากยุโรปในโซนอื่น ๆ ก็นิยมมาพักที่นี่ เพราะที่นี่อากาศอบอุ่นกว่าหลายประเทศทางเหนือ แถมมีหาดทรายที่สวยงามใช้ได้ และน้ำทะเลสีสวย   โดยว่ากันว่าที่นี่เป็นชายหาดที่สวยที่สุดในประเทศโครเอเชียอีกด้วย

ริมหาดมีโต๊ะเก้าอี้ให้บริการ สามารถนั่งได้ถ้าจ่ายเงินซื้อของที่ร้านค้าเจ้าของเก้าอี้ อาจจะเป็นน้ำซักขวดหรือขนมขบเคี้ยวนิดหน่อยก็ได้ 


 Cable Car (Žičara Srđ)

ค่าใช้บริการ  ไปกลับ 94KUNA เที่ยวเดียว 50 KUNA 

เวลาเปิดให้บริการ มิย ถึง สค 9.00-24.00  ฤดูอื่น 9.00 – 16.00 หรือ 17.00 

แหล่งท่องเที่ยวที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในเมือง โดยให้บริการกระเช้าจากบริเวณเมืองเก่าขึ้นไปบนยอดเขาที่เป็นจุดชมวิว โดยบริเวณจุดชมวิวนั้นมีร้านอาหารให้บริการ โดยเฉพาะในฤดูร้อนนั้นแทบจะเปิดให้บริการทั้งคืน ทำให้เราสามารถดื่มด่ำบรรยากาศของเมืองได้ตั้งแต่กลางคืนจนยามค่ำคืน


 ที่พัก 

 Apartments and Rooms Lejletul

Nikole Gučetića 2, Old Town, 20000 ดูบรอฟนิก, โครเอเชีย

เริ่มต้น 2500 บาท /ห้อง

ที่พักในย่านเมืองเก่า ใกล้แหล่งท่องเที่ยวเกือบทุกแห่งในราคาที่ไม่แพง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แถมจะเดินไปชายหาดก็ไม่ไกลเท่าไหร่ด้วย


ฤดูกาลน่าเที่ยว 

ในยุโรปอากาศค่อนข้างเย็น แต่ประเทศ อิตาลี โครเอเชีย สโลเวเนีย อากาศจะอบอุ่นกว่าประเทศทางแถบเหนืออยู่พอสมควร จึงทำให้ท่องเที่ยวได้สบายกว่า   โดยมีการแบ่งฤดูเป็น 4 ฤดู ซึ่งก็น่าท่องเที่ยว มีข้อดีข้อเสียต่างกันไปดังนี้

ฤดูหนาว  กลาง พฤศจิกายน-กลาง มีนาคม

ส่วนใหญ่ชาวไทยมีค่านิยมในการไปเที่ยวต่างประเทศในฤดูหนาว ซึ่งอุณหภูมิแตกต่างกับเมืองไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเมืองทางเหนือบนภูเขา ที่อาจถึงขึ้นติดลบ  ข้อดีคือจะได้สัมผัสหิมะ และความหนาวเย็นสุดขั้วกันทีเดียว  ส่วนข้อเสียสำหรับบางคนคือเรื่องความหนาวนี่เอง เพราะหนาวจนบางทีก็ไม่อยากออกไปไหน และการจราจรบางอย่างก็ถึงขั้นหยุดชะงักทีเดียว  และที่สำคัญที่สุดคือ พระอาทิตย์ตกเร็วมาก ประมาณ 16.30 ก็จะมืดแล้ว ทำให้มีเวลาเที่ยวในแต่ละวันค่อนข้างน้อย

ฤดูใบไม้ผลิ กลางมีนาคม ถึงพฤษภาคม 

เรียกว่าเป็นช่วงที่ค่อนข้างน่าไปสัมผัสตามความเห็นส่วนตัว เพราะอากาศไม่หนาวเย็นจนเกินไป แต่ไม่ร้อน ยังสามารถแต่งตัวสวยๆเดินรับลมหนาวได้สบายๆ  และมีดอกไม้นานาพันธุ์บานสวยงาม เป็นฤดูที่ค่อนข้างสดชื่น ผู้คนทั้งหลายในยุโรปเริ่มมีการทำกิจกรรมกันมากขึ้น พระอาทิตย์ตกช้าลง ประมาณ1-2ทุ่ม  ทำให้มีเวลาเที่ยวมากขึ้นด้วย

ฤดูร้อนมิถุนายนถึงกลางกันยายน 

เป็นฤดูที่ไม่ถูกโรคกับคนไทยที่สุด  แต่ในความเป็นจริง ประเทศแถบนี้มีฤดูร้อนที่ร้อนจริงๆค่อนข้างสั้น ช่วงที่ร้อนที่สุดอาจมีอุณหภูมิ 30-35 องศา แต่ก็เพียงช่วงไม่นาน  โดยอุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่  20-27 องศา ซึ่งยังถือว่าสบายๆสำหรับคนไทย แต่ถ้าไปทางด้านใต้ตั้งแต่โรม ปอมเปอี เนเปิ้ล อากาศจะค่อนข้างร้อนมาก ต้องเตรียมตัวไปดีสักหน่อย  ช่วงหน้าร้อนเป็นช่วงการทำกิจกรรมของชาวยุโรป จะมีเทศกาลต่างๆมากมาย  และกลางวันยาวนานมาก ประมาณ4ทุ่มถึงจะมืด  เรียกว่าเที่ยวได้ยันเที่ยงคืนทีเดียว

ฤดูใบไม้ร่วงกลางกันยายนถึงกลางพฤศจิกายน 

อีกฤดูนึงที่จะได้สีสันสวยงามของใบไม้ที่ทยอยเปลี่ยนสีทั่วยุโรปในประมาณกลางตุลาคมถึงพฤศจิกายน  แม้อุณหภูมิจะใกล้เคียงกับฤดูใบไม้ผลิ แต่บรรยากาศต่างกันพอสมควร  ใบไม้ร่วงจะออกโรแมนติคและเหงามากกว่า แต่หลายๆคนก็นิยมไปฤดูนี้โดยเฉพาะคู่รักทั้งหลาย 


เตรียมก่อนเดินทาง

การแลกเงิน 

โครเอเชียยังใช้เงินของประเทศตัวเองอยู่ (Kuna) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่  1Kuna /4.52 บาท      

โดยสถานที่แลกเงินนอกจากธนาคารแล้ว ร้านรับแลกเงินก็ยังเป็นทางเลือกที่ดี และมักได้เรตที่ดีกว่าเสมอ โดยร้านที่เราใช้บริการบ่อยๆคือ  SUPERRICH   และ SAIM EXCHANGE ตรงพญาไท  แต่เดี๋ยวนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิมีร้านรับแลกเงินบริเวณชั้นใต้ดิน ได้เรทเท่า ๆ กันเลย ไม่จำเป็นต้องเข้าเมืองไปแลกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ส่วนการแลกเงิน  Kuna นั้น ให้นำเอา Euro ไปแลกที่โครเอเชียเลย ให้หาร้านรับแลกที่ดูไว้ใจได้เท่านั้น  อย่าแลกกับคนตามท้องถนนเด็ดขาด เพราะเราไม่มีทางรู้กลโกงของเขาเลย   หาร้านรับแลกที่มีอัตราชัดเจน  ถ้าใกล้เคียงกับที่ว่าไว้ก็แลกได้เลย  หรือใช้วิธีกด ATM ก็ได้

เวลาท้องถิ่น

ช่วงฤดูร้อน  เมษายน-ตุลาคม เวลาท้องถิ่นจะช้ากว่าประเทศไทย 5ชั่วโมง  ช่วงฤดูหนาว พฤศจิกายน – มีนาคม จะช้ากว่าไทย 6ชั่วโมง 

ไฟฟ้า

กระแสไฟฟ้าใช้ 220 โวลต์  ปลั๊กนั้นเป็นแบบ 2รู  แต่แนะนำให้พกปลั๊กแบบ universal ไปจะดีกว่า สำหรับผู้เดินทางบ่อย 

น้ำดื่ม  

สามารถดื่มน้ำได้อย่างปลอดภัยจากก๊อกสาธารณะหากอยากประหยัดให้พกขวดน้ำแล้วรองน้ำจากที่พักไปดื่มระหว่างวันก็ได้