ผมเชื่อว่าหากให้เอ่ยชื่อประเทศที่เคยเกิดภัยพิบัติทั้งจากน้ำมือมนุษย์และธรรมชาติมากที่สุด ชื่อที่หลายคนคิดออกมาก่อนก็คือประเทศหมู่เกาะภูเขาไฟที่ชื่อว่า ญี่ปุ่นนั่นเอง ซึ่งเป็น1ในประเทศที่ผมรักและไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้งที่สุด
ในเช้าวันหนึ่งผมเดินชมบรรยากาศอันแสนสงบของเมือง ฮิโรชิม่า ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น1ใน2เมืองที่โดนระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ควบคู่กับ นางาซากิ
แต่จากสภาพปัจจุบันผมแทบไม่เชื่อเลยว่านี่คือเมืองที่เคยล่มสลายไปครั้งหนึ่งเมื่อ60กว่าปีที่แล้ว บ้านเมืองดูเป็นระเบียบ ถนนสะอาดเรียบร้อย ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนเหตุการณ์ในอดีตเป็นเพียงแค่ฝันร้ายชั่วครั้งชั่วคราว
แต่ผมคิดว่าชาวฮิโรชิม่าไม่เคยลืมเหตุการณ์นั้น เพราะทุกย่างก้าวที่ผมเดินในใจกลางตัวเมือง สถานที่ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่กระจายกันอยู่มากมายไปหมด และที่สะดุดตาจนผมต้องหยุดถ่ายรูปเก็บไว้หลายสิบรูปก็คือ Atomic Bomb dome 1ในมรดกโลกที่ตั้งเด่นอยู่ริมแม่น้ำ โมโตยะสึ นั่นเอง และมองไปลิบๆก็จะเห็น อนุสาวรีย์เหยื่อระเบิดปรมาณู
ถัดไปไม่ไกลเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์เด็กหญิงซาดาโกะ เด็กที่ได้รับสารกัมตภาพรังสีตั้งแต่อายุ2ขวบ และเสียชีวิตตอนมัธยมต้นเท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องโด่งดังของเธอก็คือความเชื่อที่ว่า หากพับนกกระเรียนครบ 1000ตัว จะหายจากอาการป่วยนั่นเอง ผมสังเกตบริเวณรอบๆนั้นมีอนุสรณ์อีกหลายที่ พร้อมประวัติของแต่ละตำนานเขียนเป็นภาษาอังกฤษอยู่ ผมนั่งอ่านประวัติไปน้ำตาก็คลอไป
จริงๆแล้วในความคิดผมซากปรักหักพังทั้งหลายก็ไม่ได้มีความสวยงามอะไร แต่บรรยากาศโดยรอบที่โอบล้อมอาคารไว้ ทำให้ดูมีความขลังขึ้นมามาก ผมคิดว่ามันสะท้อนความคิดของชาวฮิโรชิม่าที่พยายามสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ให้ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาทำได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เก็บเอาเศษซากความขมขื่นทั้งหลายไว้ในส่วนลึกเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติเสมอว่า จะไม่มีการทำผิดพลาดซ้ำรอยเดิมเด็ดขาด
ถ้าไม่นับบริเวณใจกลางการระเบิดที่ถูกสร้างเป็นสวนขนาดใหญ่แล้ว ส่วนอื่นของฮิโรชิม่า ก็ดูเป็นเมืองใหญ่เหมือนๆเมืองใหญ่อื่นๆของญี่ปุ่น คุณภาพผู้คน คุณภาพของสาธารณูปโภคไม่ได้แพ้เมืองใหญ่เมืองไหนๆของโลกเลย แถมมีเอกลักษณ์ในการเดินทางด้วย เพราะเมืองนี้ใช้รถรางไม่ใช่รถไฟ ซึ่งก็เหมือนเรื่องบังเอิญที่เมืองที่ประสบชะตากรรมเดียวกันอย่างนางาซากิก็ใช้รถรางแทนรถไฟเช่นเดียวกันเพราะตั้งแต่สมัยก่อนสงครามโลก ทั้งคู่เป็นเมืองเล็กๆการจราจรไม่ขวักไขว่มากนัก รถรางที่ไม่เร่งรีบจึงดูเหมือนจะเหมาะกับคนในเมืองมากกว่า จนมาถึงปัจจุบัน กลับเป็นสเน่ห์ของเมืองที่ดูน่ารัก ผสมผสานอดีตกับปัจจุบันได้อย่างลงตัวทีเดียว
ถ้าจะมีรถไฟก็เป็นรถไฟระหว่างเมือง ซึ่งจอดที่สถานีฮิโรชิม่า สถานีใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมกับ1ในรถไฟที่ดีที่สุดในโลก ชินคันเซนนั่นเอง และจากสถานีนี้เอง ด้วยรถไฟหัวกระสุน ชินคันเซนใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าๆเราก็จะถึงโกเบ เมืองที่ประสบภัยพิบัติอีกแบบหนึ่ง นั่นคือภัยธรรมชาตินั่นเอง
ภัยแผ่นดินไหวที่โกเบในปี 1995 เกิดขึ้นที่ใจกลางเมืองในช่วงเช้ามืด ทำให้ไม่มีการเตรียมการป้องกันที่ดีพอ ความเสียหายทั้งทรัพย์สินและผู้คนจึงไม่อาจวัดได้ ทั้งที่สร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆสำหรับรับมือแผ่นดินไหวแล้วแต่ก็ไม่สามารถทนต่อภัยธรรมชาติครั้งนี้ได้
แต่เช่นเดียวกับฮิโรชิม่า เมื่อผมเดินสำรวจภายในตัวเมืองกลับแทบไม่พบกลิ่นอายของความเสียหายใดๆเลย บ้านเมืองทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาใหม่ให้เจริญขึ้นกว่าเดิม ทุกคนต่างดำรงชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งเดียวที่ทำให้รำลึกก็มีแค่ สวนที่ระลึกการเกิดแผ่นดินไหวโกเบ เท่านั้นเอง
เนื่องจากอากาศเย็นสบายผมจึงเดินเท้าสำรวจโกเบ ระหว่างเดิน2ข้างทางเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่มีทั้งญี่ปุ่น ยุโรปและจีน ผสมผสานปนเปกัน บางทีคนเดินก็งงว่ากำลังอยู่ประเทศอะไรกันแน่ ที่เป็นอย่างนี้เพราะโกเบมีสถานะเป็นเมืองท่ามาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้ว จึงมีชาวต่างชาติมากมายมาติดต่อและตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ถึงขนาดมีย่านไชน่าทาวน์ขนาดย่อมตั้งอยู่ใจกลางเมืองทีเดียว แต่ของเขาไม่เหมือนเยาวราชบ้านเราเท่าไหร่ ดูสะอาดและเป็นระเบียบกว่ากันมาก สงสัยว่าชาวจีนที่เข้ามาตั้งรกรากที่ญี่ปุ่นก็คงซึบซับวัฒนธรรมความเป็นระเบียบของชาวญี่ปุ่นไปจนหมดแล้ว
และด้วยการที่เป็นเมืองท่านี่เอง โกเบจึงมีท่าเรือที่สวยที่สุดที่หนึงในญี่ปุ่น ซึ่งนอกจากเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ต่างๆแล้วก็ยังมี หอคอยโกเบ สิ่งก่อสร้างที่รอดจากแผ่นดินไหวมาได้ เนื่องจากการออกแบบให้สามารถรับการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ สำหรับผม หอคอยนี้มันเป็นตัวแทนของจิตใจชาวญี่ปุ่นที่ผมว่าก็ออกแบบมารับสถานการเลวร้ายได้ดีไม่แพ้กันทีเดียว
จากการที่ผมได้ไปเยี่ยมเยือนทั้งฮิโรชิม่าและโกเบ ผมคิดว่าสิ่งที่ทั้ง2เมืองหรืออาจจะอีกหลายเมืองของญี่ปุ่นไม่ว่าจะ นางาซากิ หรือแม้แต่โตเกียว เหมือนกันคือ แม้จะเคยประสบปัญหาต่างๆที่ดูเหมือนจะใหญ่จนไม่สามารถรับมือได้ แต่ด้วยพลังชาวเมืองที่มีคุณภาพและไม่เคยย่อท้อต่อสิ่งใดๆ ทำให้ทุกครั้งที่ล้มลง ญี่ปุ่นมักจะกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยความรวดเร็วเสมอ เหตุผลหลักๆเพราะชาวญี่ปุ่นเป็นชนชาติที่ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ปลูกฝังให้พวกเขามีอุปนิสัยสำคัญคือ ไม่ยอมให้ใครดูถูก อดทน และเชื่อฟังคำสั่งเจ้านาย ตั้งแต่ยุคสมัยซามูไรที่ยอมตายดีกว่าโดนเหยียดหยามหรือเผยความลับ และเคารพคำสั่งเจ้านายยิ่งกว่าสิ่งใด ความคิดนี้ถ่ายทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน ดูได้จากในสังคมการทำงานบริษัท หากมีคำสั่งจากหัวหน้า พวกเขาก็จะทำตามอย่างเคร่งครัด อดทนในการรอ และภูมิใจในงานที่ได้รับ ผมว่าคุณสมบัติเหล่านี้นี่เอง ทำให้เมื่อเกิดเหตุร้าย พวกเขารู้หน้าที่ว่าควรต้องทำอะไร และอดทนทำอย่างเป็นระเบียบ การฟื้นฟูต่างๆจึงทำได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับเหตุการณ์ซึนามิครั้งล่าสุดนี้ มีคนบอกผมเกี่ยวกับชาวญี่ปุ่นไว้ว่า พวกเขามีจิตใจนักสู้ พวกเขาไม่เคยโทษอะไรที่ควบคุมไม่ได้ สิ่งที่พวกเขาจะทำคือ ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และพวกเขาจะกลับมาในไม่ช้าอย่างแน่นอน
ผมเองก็เชื่ออย่างนั้นอย่างเต็มหัวใจ